แม้ในตอนจบของไตรภาคอัศวินรัตติกาล ใครหลายๆคนอาจรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนโนแลนซักเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวรู้สึกว่า เป็นการปิดเกมที่กำลังดีและสวยงาม...พูดได้สั้นคำเดียวว่า..เยี่ยม..
....the great movie...
ในภาคนี้เป็นผลพวงต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว ฮีโร่ของเมือง ฮาร์วีย์ เดนท์ ตายไปแล้ว แต่ผลงานไม่ได้ตายไปด้วย ผู้คนยังคงชื่นชมในความเป็นอัยการเขต ที่กล้า และยุติธรรม มีเพียง เจมส์ กอร์ดอน ผบ.ตำรวจที่รู้ว่าในท้ายที่สุดนั้น ฮาร์วีย์ เดนท์ ได้สูญเสียอุดมการณ์ที่ดีของตัวเองไปแล้ว (คลายๆกับ อนาคิน สกายวอร์คเกอร์ ผู้สูญเสีย ตัดสินใจเข้าสู่ด้านมืด^^)
ในขณะที่แบทแมนยังคงถูกกล่าวหา ว่าเป็นผู้สังหาร เดนท์ และเจ้าหน้าที่หลายนาย บรู๊ซ เวย์น ยังคงจมอยู่กับความผิดพลาดที่ช่วย ราเชล คนรักไว้ไม่ได้ และยังต้องผิดหวังกับ เดนท์
เขาไม่ออกจากคฤหาสน์ หรือออกมาสู่สังคมภายนอกเลยตลอดเวลา 8 ปี จนกระทั่ง เมื่อแม่บ้านคนหนึ่ง สามารถลักลอบขโมยเอาสร้อยคอออกจากเซฟของเขาเองได้ มันทำให้เขาหันมามองโลกภายนอกอีกครั้ง
นางแมวป่า ที่สวมบทโดย แอน แฮทธาเวย์ นั้น เธอดูสวยสง่า (สมกับที่แสดงเป็นเจ้าหญิงในภาพยนตร์ที่ผ่านๆมาของเธอ) ดูปราดเปรียวแต่ก็มีกำลังพอจะแอ็คชั่นได้ดี มีบุคลิกที่สมาร์ทและฉลาดพอจะรับบทนี้ และการมีนางแมวป่า ทำให้แบทแมนดูมีชีวิตชีวาอยู่บ้างหลังจาก อกหักซ้ำแล้วซ้ำอีก (อิอิ)
แบทแมน คัมแบคครั้งนี้ เหมือนเป็นการตอบคำถาม ทั้งหมดของชีวิต บรู๊ซ เวย์น
หนังไตรภาพอัศวินรัตติกาล ในแบบฉบับของโนแลนนั้น เหมือนเป็นการเล่าเรื่องชีวิตและความคิดหนักๆ ที่ขัดแย้งกันเองของคนๆ หนึ่ง ที่ต้องทำสองบทบาทในขณะเดียวกัน (จะเห็นได้ว่าใน the dark night นั้น บรู๊ซ เวย์น หลับในที่ประชุมเพราะ มัวเป็นแบทแมนในยามค่ำคืน) สุดท้ายแล้ว บรู๊ซ เวย์น จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร สิ่งไหนที่ต้องการ และนี่เป็นเวลาสมควรแล้วที่ต้องตัดสินใจ (เพราะหลบซ่อนมานาน 8 ปีแล้วนะ) เผชิญหน้าไม่ใช่วิ่งหนีและละทิ้งทุกสิ่ง
อัลเฟรด พ่อบ้านที่เหมือนเป็นครอบครัวเดียวที่บรูซมี ตัดสินใจจากไป อัลเฟรดหวังเสมอที่จะให้เขามีชีวิตที่ มีความสุขกับครอบครัว และไม่ต้องเป็นคนฝังศพคนตระกูล เวย์น คนที่สาม
บรูซได้เลือกชีวิตใหม่ และลุกขึ้นสู้ อีกครั้ง ดูคล้ายจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้ทำให้ตัวเองผิดหวัง และ ยังสามารถทำให้ความฝันของอัลเฟรดเป็นจริง
บทร้ายนำใน the dark night rise แน่นอนว่ารู้กันมานานพอสมควรแล้วว่า คือ เบน ชายร่างใหญ่ในหน้ากาก โดยส่วนตัว เห็นครั้งแรกรู้สึกว่า คิดยังไงเลือกผู้ร้ายตัวนี้ ดูยังไงไม่รู้ แค่ตัวใหญ่ๆ แต่แน่นอนว่า โนแลน สามารถ จะผูกเรื่องของ เบน ให้อยู่ในเรื่องราวที่สมควรได้อย่างนึกไม่ถึง ...มีเสียงตินิดหน่อยว่า เบนคนนี้ดูไม่น่ากลัวเท่าที่ควร...
อ่านในนิตยสารภาพยนตร์ เขาว่า ผู้ร้ายใน the dark night หรือโจ๊กเกอร์นั้น เป็นสไตล์ใช้สมอง แต่ใน the dark night rise หรือ เบน เป็นสไตล์ใช้กำลัง แต่ก็อย่างที่บอก โนแลน เขาสามารถจริงๆ เบนไม่ใช่ตัวร้ายบ้าพลัง ที่แค่โผล่มาเพื่อให้แบทแมนตื่นจากการหลับไหล มาต่อสู้อีกครั้ง เท่านั้น แต่เป็นเพราะเบน ทำให้ บรูซ ได้คนพบ วิธีคิด เพื่อลุกขึ้นสู้..อีกครั้ง...
อีกบทบาทหนึ่งที่น่าสนใจและนึกไม่ถึง จนกระทั่งดูไปถึงตอนท้ายของเรื่อง ถึงได้ตะหงิดๆ นิดหน่อย และไอ้ที่ตะหงิดๆ ก็ถูกต้องซะด้วย ...อันนี้ขอไม่บอก อยากให้ได้ชมและลองเดากันเอง คิดว่าเดาไม่ยาก และทำให้รู้เลยว่า โนแลนนั้น นอกจากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านวิธีคิด และบทภาพยนตร์ซับซ้อน ชวนปวดหัวแล้วนั้น เขายังสามารถปูบุคลิก ความคิดของตัวละครได้อย่าง น่าสนใจมากเลยที่เดียว บทบาทที่พูดถึงคือบทของ จอห์น เบลค (รับบทโดย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) ผู้ช่วย เจมส์ กอร์ดอน บทของ จอห์น เบลค ทำให้ บรูซ ได้มีกำลังใจจะกลับมาอยู่ใต้หน้ากากแบทแมนอีกครั้ง เพราะยังมีอีกหลายๆ คนที่รอคอยและยังมีความหวังในตัวแบทแมนอยู่
<คิดว่าอีกไม่นานเราจะได้ชมผลงานของ โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ อีกเรื่อยๆ เพราะผลงานที่ผ่านมาแม้ในแต่ละเรื่องจะไม่ใช่พระเอกแต่ก็ได้รับบทที่สามารถเข้าถึงความทรงจำของผู้คนได้.. เรียกว่าเชียร์เป็นการส่วนตัว^^>
ข้อด้อยของ แบทแมนในแบบฉบับของโนแลนนั้น อาจจะอยู่ที่ ฉากต่อสู้ และอุปกรณ์ต่างๆ ของแบทแมนที่ดูจะอลังการสู้ไอออนแมนไม่ได้ (อิอิ) แต่ด้วยเนื้อเรื่องหนักๆที่แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ก็พอจะหยวนๆ ในประเด็นนี้ได้ ในส่วนตัวคิดว่า โนแลนน่าจะชอบเน้นที่แก่น มากกว่าอุปกรณ์ แบทแมนฉบับนี้จึงดูดราม่ากว่าที่เคย คล้ายๆกับสนใจที่จะเสนอแนวความคิด การฝึกฝน คนๆหนึ่ง ให้กลายมาเป็นแบทแมน และใช้อาวุธ ยุทธโธปกรณ์ ต่างๆเป็นส่วนเสริมเท่านั้น
โนแลนยังทำให้เรารู้สึกว่าแบทแมนนั้นไม่ได้เก่งกาจต่างจากเรานัก (ถ้าไม่นับความรวย) ไม่ใช่สไตล์ที่เอะอะอะไรก็เรียกหาแบทแมน และจะเห็นได้ว่าในหลายๆเหตุการณ์ แบทแมนจำเป็นต้องให้ตำรวจ หรือคนธรรมดาๆ นี่แหละเป็นกองหนุน
the dark night rise ไปถึงจุดที่แตกต่างจากฮีโร่ตัวอื่นๆตรงที่ว่า แบทแมนนั้นสามารถที่จะเป็นเพียงสัญลักษณ์ หรือที่พึ่งทางใจที่จะให้ผู้คนมีกำลังใจ และลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง และนี่เอง อาจจะเป็นที่มาของคำว่า "RISE" ในการจบไตรภาคของ..อัศวินรัตติกาล...ก็เป็นได้ ><