หนังในซีรีย์ คฤหาสน์ช๊อค ตัวเอกไม่ใช่คนหรือผี แบบในหนังภาคต่อเรื่องอื่นๆ แต่ตัวเอกคือ บ้าน หรือ คฤหาสน์ ดังนั้นในภาค 1 และ 2 จึงไม่มีอะไรที่เชื่อมต่อกันเลย เพียงแต่เป็นการบอกเล่า เรื่องสยองขวัญ ที่เกิดในบ้านแต่ละหลัง
สำหรับภาค 1 เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก 3 คน และหลาน 1 คน
ตัวละครหลัก คือ แมท และแม่ แมทป่วยเป็นมะเร็งที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง และด้วยความที่บ้านพักอยู่ห่างจากโรงพยาบาลมาก ครอบครัวนี้จึงย้ายมาเช่าบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากขึ้น และบ้านหลังนี้เองที่เป็นที่มาของเรื่องราวสยองขวัญทั้งหมด
หลังจากดูจบรู้สึกว่านี่เป็นหนังผีที่ดี มีทั้งความน่ากลัว เรื่องราวชวนสงสัยและค้นหาที่มาที่ไปของบ้านและผี ตามแบบฉบับหนังผีทั่วๆไป แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ หนังเรื่องนี้มีความดราม่า ดูแล้วชวนสงสารทั้งผีทั้งคน และมีอารมณ์ซึ้งเล็กๆ ในความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลูก ความรู้สึกรับผิดชอบของพ่อที่มีต่อครอบครัว
ส่วนตัวแล้วชอบตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดประทับใจในการตัดสินใจของแมทที่จะจัดการกับเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวของกับวิญญาณที่มาหลอกหลอนเขา เป็นสิ่งที่เขาทำให้เหล่าวิญญาณพวกนั้นได้แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตมากก็ตาม
สำหรับรายละเอียดของเรื่องราวขออนุญาตยกมาจาก http://www.online-station.net/entertainment/others/39 ซึ่งน่าจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้ดีกว่าผู้เขียน ^^
เปิดโปงเรื่องจริงของบ้านผีสิงที่ดังที่สุดในอเมริกา !
โดยบริษัทผู้สร้าง Saw
โดยบริษัทผู้สร้าง Saw
ประเภท: สยองขวัญ / ทริลเลอร์
สัญชาติ: อเมริกัน
อำนวยการสร้าง: พอล บรูคส์ (Slither, White Noise)
กำกับการแสดง: ปีเตอร์ คอร์นเวล (Ward 13)
เขียนบทภาพยนตร์: อดัม ไซมอน (Bones, The American Nightmare)
นำแสดง:
- เวอร์จิเนีย แม็ดเซน (Sideways, The Number 23)
- ไคล์ กาลเนอร์ (Veronica Mars, CSI: NY)
- อแมนด้า ครูว (Sex Drive, Final Destination 3)
- เอเลียส โกเทียส (Zodiac, Skinwalkers)
- มาร์ติน โดโนแวน (The Alphabet Killer, Ghost Whisperer)
กำหนดฉาย: 23 เมษายน 2552จัดจำหน่าย: มงคลเมเจอร์
สัญชาติ: อเมริกัน
อำนวยการสร้าง: พอล บรูคส์ (Slither, White Noise)
กำกับการแสดง: ปีเตอร์ คอร์นเวล (Ward 13)
เขียนบทภาพยนตร์: อดัม ไซมอน (Bones, The American Nightmare)
นำแสดง:
- เวอร์จิเนีย แม็ดเซน (Sideways, The Number 23)
- ไคล์ กาลเนอร์ (Veronica Mars, CSI: NY)
- อแมนด้า ครูว (Sex Drive, Final Destination 3)
- เอเลียส โกเทียส (Zodiac, Skinwalkers)
- มาร์ติน โดโนแวน (The Alphabet Killer, Ghost Whisperer)
กำหนดฉาย: 23 เมษายน 2552จัดจำหน่าย: มงคลเมเจอร์
เขาดูทีวีกับคุณ! ร่วมโต๊ะอาหารกับคุณ! นอนข้างๆ คุณ!
คุณเคยเห็นมันบ้างมั้ย?
คุณเคยเห็นมันบ้างมั้ย?
“จะเป็นเช่นไรถ้าคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว สำหรับสิ่งที่คุณเห็นคือ....ไม่สามารถอธิบายได้”
The Haunting in Connecticut สร้างจากเรื่องจริงอันน่าเหลือเชื่อ ซึ่งพูดถึงครอบครัวธรรมดาที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ เมื่อครอบครัวแคมพ์เบลล์ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่รัฐคอนเน็ตติกัต พวกเขาก็ได้รู้ว่าสถานที่อันแสนเงียบสงบแห่งนี้ มีความหลังที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ เพราะไม่เพียงแค่ว่ามันคือบ้านที่เคยใช้จัดงานศพมาก่อน แต่ลูกชายเจ้าของบ้านก็ยังเป็นร่างทรง ที่ทำหน้าที่เหมือนกับประตูที่เชื่อมกับภพนึง ที่วิญญาณใช้ในเดินทางข้ามมายังโลกใบนี้ แล้วความสยองที่ไม่อาจหาอธิบายออกมาได้ ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ โจนาห์ เด็กชายที่สามารถติดต่อกับคนตาย ได้กลับมาปลดปล่อยแรงอาฆาตกับครอบครัวแคมพ์เบลล์ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย
บทนำ
ประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา เต็มไปด้วยเรื่องราวของวิญญาณและภูติผีปีศาจ เรื่องเล่าของบ้านผีสิงและตำนานเล่าขานถึงเบื้องหลังของบ้านแต่ละหลังอันน่าสยดสยอง ก็สามารถอ่านได้ตามหลักฐานที่มีการบันทึกเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรัฐนิวอิงแลนด์ และรอยต่อระหว่างสามรัฐใกล้เคียง
เช่นในรัฐคอนเน็ตติกัต หมู่บ้านบางแห่งได้อันตรธานหายไป เนื่องจากการถูกวิญญาณอาฆาตตามรังควาญ โดยเฉพาะหมู่บ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือของมลรัฐที่ชื่อ “เมืองดัดลี่ย์” ที่ชาวบ้านทุกคนถูกทำให้คลุ้มคลั่ง อันเนื่องมาจากวิญญาณร้ายที่ตามหลอกหลอน และทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ในปี 1987 ฝันร้ายก็ได้เดินทางมาสู่ครอบครัวหนึ่งในเซาท์ธิงตัน รัฐคอนเน็คติกัต ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในบ้านเปล่าที่ตั้งอยู่ใน เมอร์ริเดียน อเวนิว
หลังจากที่ครอบครัวแคมพ์เบลล์ได้ย้ายเข้ามาแล้ว พวกเขาก็ค้นพบว่ามีป่าช้าขนาดย่อมตั้งอยู่หลังบ้าน มีห้องโถงสำหรับทำการดองศพในชั้นใต้ดิน และในลิ้นชักห้องนอนก็ยังมีรูปของคนตายบรรจุอยู่เป็นจำนวนมาก... ใช่แล้ว เพราะบ้านหลังใหม่ของพวกเขา เคยเป็นสถานที่ใช้ในการจัดงานศพมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 20
และไม่นานนัก พวกเขาก็ได้สัมผัสได้ถึงประสบการณ์เหนือธรรมชาติ เช่น เสียงแปลกๆ, กลิ่นที่ไม่คุ้นจมูก, อุณหภูมิของห้องที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน, การปรากฏตัวของร่างลึกลับ ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นตามลำดับ และเกือบที่จะพรากสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งพวกเขาก็ไม่ทราบมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะต้องมาประสบเคราะห์ชะตากรรม ในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด เท่าที่เคยถูกบันทึกกันในประวัติศาสตร์เรื่องเล่าบ้านผีสิง
ทีมโปรดักชั่น
โปรเจ็คภาพยนตร์เรื่อง The Haunting in Connecticut เริ่มออกสตาร์ทตั้งแต่ปี 2003 เมื่อผู้อำนวยการสร้าง แอนดรูว ทราพานิ ได้เห็นสารคดีในโทรทัศน์ ที่เล่าถึงความสยองในแบบที่คาดไม่ถึงของ คาร์เมน รีด และครอบครัว มันทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที และเมื่อจบเขาก็พยายามหาทางติดต่อกับ คาร์เมน เพื่อที่จะได้คุยกันต่อหน้า หลังจากที่พวกเขานัดกันและได้ยินประสบการณ์ของเธอโดยตรงแล้ว ทราพานิ และผู้อำนวยการสร้าง พอล บรูคส์ ก็ยิ่งรู้สึกตกใจ เพราะเรื่องของเธอมีความแปลกใหม่และสมควรแก่การถูกเล่าให้คนฟังมากกว่านี้ โดย บรูคส์ เล่าว่า "ความจริงก็คือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหลายแหล่นั้น เกิดขึ้นกับสมาชิกในบ้านทุกคนในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ"
ผู้กำกับ ปีเตอร์ คอร์นเวล ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานขับเคลื่อนที่อยู่ในเรื่อง เขาเล่าว่า "การที่มันเป็นเรื่องจริงนั้น ก็ยิ่งจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อคุณสามารถรู้สึกเชื่อมถึงได้กับใครบางคน ที่ต้องเผชิญหน้ากับความสยองที่เคยเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแค่ตัวละครที่ถูกเขียนขึ้นมาเท่านั้น"
สำหรับผู้เขียนบทร่วม อดัม ไซมอน และ ทิม เม็ทคัลฟ์ The Haunting in Connecticut คือโอกาสเหมาะ ในการใช้ความเป็นแฟนพันธ์แท้ของเรื่องเหนือธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ เม็ทคัลฟ์ เล่าว่า "ความสนใจร่วมกันของเรา ไม่ว่าจะเป็นรื่องเหนือธรรมชาติ ในโลกวรรณกรรม, ภาพยนตร์ และความจริ่งในประวัติศาสตร์ ช่วยให้เราช่วยกันหล่อหลอมเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น"
สำหรับผู้เขียนบทร่วม อดัม ไซมอน และ ทิม เม็ทคัลฟ์ The Haunting in Connecticut คือโอกาสเหมาะ ในการใช้ความเป็นแฟนพันธ์แท้ของเรื่องเหนือธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ เม็ทคัลฟ์ เล่าว่า "ความสนใจร่วมกันของเรา ไม่ว่าจะเป็นรื่องเหนือธรรมชาติ ในโลกวรรณกรรม, ภาพยนตร์ และความจริ่งในประวัติศาสตร์ ช่วยให้เราช่วยกันหล่อหลอมเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น"
นักเขียนบทภาพยนตร์ทั้งคู่ ถือว่าเป็นคนที่ศึกษาเรื่องวิญญาณและเรื่องราวสยองขวัญ โดยพวกเขาได้นำเอาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในอดีต มาใส่ลงในพื้นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ แน่นอน มันต้องพูดถึงการคุกคามของวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัว, พิธีกรรมเข้าทรง และความสยดสยองของสิ่งที่เรียกว่า “Ectoplasm”
หลังจากที่เขาได้สร้างภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องสั้น ที่ได้รับรางวัลมาหลายสถาบัน Ward 13 ผู้กำกับ ปีเตอร์ คอร์นเวล ก็ได้ถูกจับตามองจากผู้อำนวยกาสร้างในฮอลลิวู้ด ซึ่ง บรูคส์ เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาพูดถึงผู้กำกับว่า "อนิเมชั่นของ ปีเตอร์ เป็นอะไรที่หลอนมากและมันยังถูกสร้างด้วยจิตวิญญาณจริงๆ ผมคิดว่าเขามีมุมมองในเรื่องสยองขวัญที่ดูสดใหม่ และเขาก็ยังเห็นด้วยกับเราว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ควรเน้นลงไปในความจริงที่เกิดขึ้น และต้องซื่อสัตย์ต่อเรื่องราวของครอบครัวแคมพ์เบลล์"
โดยตัวของ คอร์นเวล เองก็รู้สึกกระตือรือล้น ในการลงไปสำรวจโลกของภาพยนตร์เรื่องยาว ที่ใช้คนแสดงจริงครั้งแรก "การสร้างอนิเมชั่นนั้น คุณต้องเห็นทุกฉากอย่างชัดเจนในหัวของตัวเอง ก่อนที่คุณจะเริ่มถ่ายทำ แต่ในภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงนั้น คุณต้องร่วมงานกับนักแสดงที่มีไอเดียเป็นของตัวเอง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมได้จากเรื่องนี้ ทุกคนก็ให้ความร่วมมือและช่วยกันสร้างสรรค์เป็นอย่างดี"
เวอร์จิเนีย แม็ดเซ่น คือนักแสดงที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Sideways และยังเคยเป็นขวัญใจคอหนังคัลท์ สำหรับการแสดงอันยอดเยี่ยมจาก Candyman โดยเธอเล่าว่า ตัวเองมองหาบทภาพยนตร์สยองขวัญดีๆมากว่า 3 ปีแล้ว แต่กว่า 30 บทที่เธอได้อ่าน มันก็เป็นเพียงแค่หนังสยองขวัญธรรมดา ที่มีแต่การทรมาณและฉากแหวะๆ ขายความโหด
เวอร์จิเนีย แม็ดเซ่น คือนักแสดงที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง Sideways และยังเคยเป็นขวัญใจคอหนังคัลท์ สำหรับการแสดงอันยอดเยี่ยมจาก Candyman โดยเธอเล่าว่า ตัวเองมองหาบทภาพยนตร์สยองขวัญดีๆมากว่า 3 ปีแล้ว แต่กว่า 30 บทที่เธอได้อ่าน มันก็เป็นเพียงแค่หนังสยองขวัญธรรมดา ที่มีแต่การทรมาณและฉากแหวะๆ ขายความโหด
เธอเล่าว่า “แต่เมื่อฉันได้อ่านบทภาพยนตร์ชิ้นนี้ ที่มีเรื่องน่าสนใจและมีตัวละครหญิงที่ซับซ้อนอย่าง ซาร่า แคมพ์เบลล์ มันก็ทำให้ฉันกลัวจนหัวหดเลย แคมพ์เบลล์ คือหญิงแกร่งและเป็นคริสตชนที่มีความศรัทธา แต่เธอต้องดิ้นรน ในการประคับประคองครอบครัวเธอ ให้ผ่านประสบการณ์ท้าทายความเชื่อ ซึ่งอยู่ในมือของปีศาจร้ายที่อยู่ในบ้านของเธอนี้เอง"
ในขณะที่ แม็ดเซ่น ยอมรับว่า ในตอนแรกเธอไม่มั่นใจในฝีมือของผู้กำกับหน้าใหม่ แต่การเตรียมงานสร้างของเขา รวมถึงวิสัยทัศน์ที่แจ่มชัด ก็ช่วยให้เธอมั่นใจมากขึ้น เธอเล่าว่า "เมื่อฉันพบกับ ปีเตอร์ พวกเราก็รู้ว่ามีความหลงไหลในสิ่งเดียวกัน ฉันชอบหนัง ฉันรักหนังสยองขวัญและเขาเองก็เช่นกัน ฉันไปหาอนิเมชั่นเรื่องสั้นของเขามาดู พวกเรารู้สึกเข้าใจกันตั้งแต่วันแรกเลย จุดเด่นในตัว ปีเตอร์ ที่ฉันค้นพบ ก็คือการที่เขาเป็นคนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และก็แน่ใจว่าหนังที่เขากำลังสร้างนั้น จะต้องออกมาเป็นแบบไหน"
คอร์นเวล เองก็พูดถึงนักแสดงนำของเขาว่า "การได้ร่วมงานกับ เวอร์จิเนีย ก็เหมือนกับฝันที่เป็นจริง เธอเป็นคนที่มีพื้นฐานการแสดงที่เฉียบคม, มีประสบการณ์สูง และสำคัญที่สุดคือเธอขึ้นกล้องอย่างแรง"
ภายใต้บรรยากาศของเนื้อเรื่องที่มืดมน แม็ดเซ่น ก็ต้องเป็นเหมือนแม่จริงๆ ให้แก่นักแสดงวัยรุ่นที่รับบทเป็นลูกบนจอ ซึ่งเธอก็ได้ให้ความร่วมมือตลอดการถ่ายทำ จนทำให้ แม็ดเซ่น ได้รับสมญานามในกองถ่ายว่า "คุณแม่ วี" อแมนด้า ครูว ซึ่งรับบทเป็นหลานสาวของ ซาร่า ที่ชื่อ เวนดี้ ได้พูดถึง แม็ดเซ่น ว่า "เธอเข้าใจว่า พวกเราต้องอาศัยความสามารถในการแสดงของเธอ ในการเล่าเรื่องที่มีความกดดันชิ้นนี้ และก็เหมือนตัวละครในเรื่องนี้ เธอเป็นเหมือนประภาคารที่ช่วยนำทางให้กับพวกเรา"
สำหรับนักแสดงหนุ่มอีกคนอย่าง ไคล์ กาลเนอร์ ที่คนดูซีรี่ย์อาจจะจำได้จากซีรี่ย์ยอดนิยม Veronica Mars โดยในเรื่องนี้เขารับบทเป็น แม็ตต์ แคมพ์เบลล์ โดยนี้เป็นงานที่ท้าทายสำหรับตัวเขา เพราะไม่เพียงแค่ต้องแสดงอยู่ในกลุ่มนักแสดงนำเป็นครั้งแรก แต่ตัวละครของของเขาก็ยังต้องแสดงออก ให้เห็นถึงสภาวะทางอารมณ์ที่หลากหลายอีกด้วย
สำหรับนักแสดงหนุ่มอีกคนอย่าง ไคล์ กาลเนอร์ ที่คนดูซีรี่ย์อาจจะจำได้จากซีรี่ย์ยอดนิยม Veronica Mars โดยในเรื่องนี้เขารับบทเป็น แม็ตต์ แคมพ์เบลล์ โดยนี้เป็นงานที่ท้าทายสำหรับตัวเขา เพราะไม่เพียงแค่ต้องแสดงอยู่ในกลุ่มนักแสดงนำเป็นครั้งแรก แต่ตัวละครของของเขาก็ยังต้องแสดงออก ให้เห็นถึงสภาวะทางอารมณ์ที่หลากหลายอีกด้วย
แม็ตต์ ต้องรับมือกับปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ และยังต้องต่อสู้กับผู้มาเยือน ที่ดูเหมือนฝาแฝดจากอีกภพนึงของตัวเขา ไคล์ ได้เล่าถึงการมารับภาระนี้ว่า "บทนี้มันท้าทายสุดๆไปเลย สำหรับผมแล้วมันค่อนข้างจริงจัง ทั้งที่มันเป็นเพียงแค่ภาพยนตร์เท่านั้น มันยังทำให้ผมรู้สึกแปลกใจอีกว่า มันเคยเกิดขึ้นจริงกับครอบครัวหนึ่ง”
ในฐานะที่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่น ไคล์ ได้เสนอไอเดียของตัวเขาเองให้กับผู้สร้าง เพื่อทำให้ แม็ตต์ กลายเป็นตัวละครที่มีความสมจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ คอร์นเวล พูดถึงนักแสดงหนุ่มไฟแรงว่า "ไคล์ อายุเพียงแค่ 16 ปี ดังนั้นผมจึงรู้สึกดีใจ เมื่อเขาใส่เอามุมมองของเด็กในช่วงอายุนั้นเข้ามา โดยผมมอบหน้าที่ให้เขาหาทางที่จะแสดงในแต่ละฉาก เพื่อที่จะได้ทำให้มันสมจริงและเขาเองก็รู้สึกเชื่อ นี้คือความสามารถพิเศษของ ไคลล์ ล้วนๆ ที่ทำให้ แม็ตต์ ออกมาโลกแล่นเหมือนมีชีวิตจริง"
แม็ดเซ่น ผู้ซึ่งในชีวิตจริงมีลูกชายอายุ 13 ปี ก็รู้สึกเข้าใจถึงความซับซ้อน ระหว่างความสัมพันธ์ของแม่และลูกในบทภาพยนตร์ ในขณะที่ แม็ตต์ ต้องเห็นภาพหลอนต่างๆนาๆ เขาก็ต้องตัดสินใจว่า ตัวเองจะเล่าให้แม่ฟังมากแค่ไหน เพราะเขาไม่อยากให้เธอต้องกังวลใจมากกว่าที่เป็นอยู่ โดย แม็ดเซ่น เล่าถึงประเด็นนี้ว่า "มีหนังหลายเรื่อง ที่ตีความวัยรุ่นเป็นพวกแอนตี้สังคม และรู้สึกเกลียดพ่อแม่ของตัวเอง แต่ความจริงแล้ววัยรุ่นมันซับซ้อนมากกว่านั้น ฉันพบว่าความสัมพันธ์ของ แม็ตต์ และ ซาร่า ถูกตีแผ่ออกมาด้วยความสัตย์จริง"
เอเลียส โกเทียส รับบทเป็น หลวงพ่อโปเปสคู บาทหลวงที่พยายามช่วยเหลือครอบครัวแคมพ์เบลล์ ซึ่งเขาทำให้ผู้กำกับ คอร์นเวลล์ รู้สึกประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการอยู่ในคาแร็คเตอร์ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำ ซึ่ง แม็ดเซ่น ผู้เคยร่วมงานกับ โกเทียส มาแล้วใน The Prophecy ได้กล่าวไว้ว่า เขาคือนักแสดงที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่ง ผู้ซึ่งลงไปสำรวจถึงตัวละครที่เขารับเล่นทุกบท
ผู้กำกับ คอร์นเวลล์ ยังได้พูดถึงนักแสดงมากความสามารถคนนี้ว่า "เอเลียส ได้นำจิตวิญญาณมาใส่ในตัวละครนี้ เขาพร้อมที่จะลงไปในสถานการณ์ต่างๆ แม้ว่ามันอาจจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนักก็ตาม"
ผู้กำกับ คอร์นเวลล์ ยังได้พูดถึงนักแสดงมากความสามารถคนนี้ว่า "เอเลียส ได้นำจิตวิญญาณมาใส่ในตัวละครนี้ เขาพร้อมที่จะลงไปในสถานการณ์ต่างๆ แม้ว่ามันอาจจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนักก็ตาม"
มาร์ติน โดโนแวน รับบทเป็น ปีเตอร์ พ่อผู้หวังดี ที่ต้องรับภาระเรื่องปัญหาการเงินของครอบครัว โดย โดโนแวน เองก็รู้สึกประทับใจกับบทภาพยนตร์ ที่มีความเอาใจใส่กับตัวละคร ซึ่งเขาพบว่ามันเป็นเรื่องแปลกสำหรับหนังสยองขวัญ "ผมได้ยกเอาไอเดียของความรู้สึกผิดและแรงอาฆาตมาพูดคุยกับผู้กำกับ ซึ่งก็น่ายินดีว่ามันไปในทำนองเดียวกับที่ ปีเตอร์ คิดเอาไว้เลย"
นักแสดงหลักคนสุดท้ายคือ อแมนด้า ครูว ผู้รับบทเป็นลูกพี่ลูกน้องของ แม็ตต์ โดย ครูว รู้สึกสนใจในบทภาพยนตร์นี้ โดยเฉพาะเรื่องของความสยอง ซึ่งทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างที่สุดในระหว่างการถ่ายทำ โดยเฉพาะในฉากที่เธออยู่หลังประตู ที่ถูกขวานจามอย่างบ้าคลั่ง เธอเล่าว่า "เพียงแค่ในเทคที่สอง คมขวานมันก็ใกล้หน้าของฉันมาก ซึ่งก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแทบทะลุออกมาจากอก ที่คุณจะเห็นนั้นไม่ใช่การแสดง แต่เป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ"
บางทีตัวละครที่สำคัญที่สุดของเรื่องก็คือบ้านหลังนี้ ผู้เขียนบท อดัม ไซมอน ได้เล่าว่า "บ้านหลังนี้ คือตัวละครที่สำคัญที่สุด ซึ่งจากประวัติศาสตร์โลกภาพยนตร์ คุณก็จะเห็นว่ามันสร้างอิทธิพลให้กับเนื้อเรื่องขนาดไหน อย่างเช่นบ้านริมผาใน The Haunting of Hill House และโรงแรมกลางหุบเขาจาก The Shining มันก็เลยเป็นเรื่องท้าทาย ที่เราจะต้องสร้างบ้านสามารถสร้างความรู้สึกแบบเดียวกันได้"
คอร์นเวลล์ ได้ทำงานร่วมกับผู้ออกแบบงานสร้าง อลิเซีย เคย์วาน อย่างใกล้ชิด โดยพยายามหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด จนในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับบ้านแนววิคตอเรียน ในเมืองทิวลอน ที่อยู่ห่างจากเมืองวินนิเพ็ค, ประเทศแคนาดา ออกไปประมาณครึ่งชั่วโมง โดย คอร์นเวลล์ ได้อธิบายถึงการเลือกสถานที่นี้ว่า "ในการเสาะหาสถานที่ถ่ายทำ คุณมักจะแยกไม่ค่อยออกว่าแต่ละที่นั้นมีจุดเด่นอย่างไร แต่สถานที่แห่งนี้มอบความรู้สึกให้กับผมอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าผมรู้จักมันมาก่อน และมองมันในฐานะที่เป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว"
แม็ดเซ่น เองก็พูดถึงพลังงานซ่อนเร้น ที่อยู่ในบ้านหลังนี้เหมือนกันว่า "บ้านหลังนี้แทบมีหน้าตาเป็นของตัวเอง แค่คุณเข้าไปอาศัยอยู่ในนั้น มันก็น่าขนลุกแล้ว "
บ้านหลังนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล หน้าต่างทรงกลมที่โดดเด่น และทางเดินรถที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดจบ นี้คือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ในการเป็นตัวแทนของบ้านต้นฉบับแห่งคอนเน็ตติกัต โดยที่ฉากในชั้นใต้ดินและห้องนอนของ แม็ตต์ นั้นถูกสร้างในโรงถ่าย ในการร่วมงานกับตัวผู้กำกับและ อดัมส์ สวิค่า ผู้กำกับภาพ เคย์วาน ได้สร้างแบบจำลองบ้านสามมิติขึ้นมา เพื่อได้ที่จะเอามาใช้พูดคุยกัน ก่อนที่ทีมงานจะสร้างตัวบ้านขึ้นมาจริงๆ โดย สวิค่า ได้เลือกแนวทางการถ่ายทำแบบคลาสสิค โดยเลือกใช้กล้องมือถือ เมื่อต้องการสร้างความกดดัน
ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆ ถูกสร้างขึ้นโดย ท๊อดด์ มาสเตอร์ อัจฉริยะผู้ออกแบบเอฟเฟ็ค ที่เคยได้รับรางวัลเอ็มมี่มาแล้วจากซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Six Feet Under และยังเคยได้รับรางวัล Saturn Award จากภาพยนตร์เรื่อง Slither (2006) โดยทีมงานของเขาได้เตรียมงานสร้างกว่าหนึ่งเดือนครึ่งก่อนเริ่มถ่ายทำ
โดยเฉพาะศพ ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยซิลิโคน ซึ่งมีส่วนประกอบของเหล็กและข้อต่อที่พับอย่างได้ครบถ้วน ศพแต่ละชิ้นนั้นต้องใช้เวลาถึงสองสัปดาห์ในการสร้าง คอร์นเวลล์ พูดถึงการสร้างหุ่นจำลองนี้ว่า "คุณจะไม่เคยเห็นร่างอันไร้วิญญาณของมนุษย์ที่ดูสมจริงเท่านี้อีกแล้ว ยิ่งถ้าคุณได้สัมผัสมัน คุณก็จะรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก และความยืดหยุ่นของร่างกายมนุษย์ ราวกับว่ามีศพอยู่ต่อหน้าคุณจริงๆ"
แม็ดเซ่น พูดถึงศพจำลองนี้เช่นกันว่า "มันดูเหมือนจริงมาก ทั้งเส้นผมรวมถึงเล็บมือเล็บเท้า มันทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาจริงๆ และที่สำคัญคือมันถูกต้องตามสัดส่วนของร่างกายมนุษย์จริงๆ"
เจ้าของเรื่องราวทั้งหมดอย่าง คาร์เมน รีด ก็รู้สึกตกใจ เมื่อได้เห็นประสบการณ์อันเลวร้ายที่เธอประสบ ถูกตีแผ่อย่างสมจริงในจอภาพยนตร์ "ฉันรู้สึกผวาอย่างที่สุด ในขณะที่นั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ของทางสตูดิโอ มันทำให้ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่ฉันแน่ใจว่า ตัวเองกำลังและพวกเราทุกคนในบ้านกำลังจะตายอีกครั้ง การได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ปรากฏอยู่บนจอภาพยนตร์ จนบัดนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าเรารอดมาได้อย่างไร"
รีด บอกว่าอยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอนี้ ให้ทุกคนได้รับรู้ "ฉันอยากให้ทุกคนได้รู้ว่า นี้มันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และการที่คนเห็นหรือได้ยินเสียงที่ไม่สามารถอธิบายได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะบ้าหรือเพี้ยน ฉันรู้ดีว่าตัวเองคงไม่สามารถตอบได้ทุกคำถาม เพราะตัวฉันเองไม่เชื่อในเรื่องผี ฉันไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง ฉันจะหรี่ตาทุกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องที่พิสูจน์ได้ว่าผีมีจริง แต่มันก็มีบางช่วงเวลาเหมือนกัน ที่ฉันจะคอยผวาว่า มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ใต้เตียงเราจริงๆ"