ที่มาของการอ่านนิยายจีนเรื่องนี้มาจากบุคคลผู้นี้
ตี้หลุง พระเอกชื่อดังยุค ชอว์บาร์เดอร์ ผู้สวมบทบาทเป็นโป้วอั้งเสาะในยุคนั้น
(มีแฟนๆ นิยายบางท่านบอกว่าหนังเวอร์ชั่นนี้ไม่ดีพอเพราะมีการดัดแปลงไปจากบทประพันธ์หลายจุด แต่เราว่าหนังก็สร้างได้สนุกดี ดีพอสำหรับเทคโนโลยีในยุคนั้น)
คุณพี่โป้วอั้งเสาะท่านนี้ (ต้องเรียกอากงแล้วมั้ง^^) ดูเท่ห์มากๆ ถือได้ว่าหน้าตาดี๊ดีสำหรับคนจีน^^ ทีนี้หนังจบ คนดูไม่จบเลยไปเสาะหาหนังสือมาอ่านแล้วพบว่า...สำนวนช่างงง วกวน ยอกย้อนสมกับเป็น เรื่องราวที่เขียนโดยนักเขียนระดับปรมาจารย์...โกวเล้ง...
เราคงไม่อาจเอื้อมไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรกันให้มากมาย เพียงมีบทสนทนายอกย้อน จับใจมาฝากกัน^^
(แปลโดย ว ณ เมืองลุง)
วลีเด็ดที่บรรยายความเป็นโป้วอั้งเสาะ
"ขอเพียงในหัวใจสว่างไสว ไยต้องกลัวกับความมืด"
ลึกซึ้้งกินใจสุดๆ ไม่ขอขยายความ^^
ความคับแค้นลำเค็ญในชีวิตคนความจริงก็เป็นการรอคอยให้ผู้คนไปสยบพิชิตด้วยตนเอง
..ตาย..ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาใดๆ มีแต่คนขี้ขลาดที่ไม่อาจทนทานการกระทบกระเทือนเท่านั้นจึงใช้ความตายมาปลดเปลื้อง
"ขอเพียงสามารถมีชีวิต ข้าพเจ้าก็ต้องมีชีวิตสืบไป
ผู้อื่นที่ต้องการให้ข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้ายิ่งต้องการมีชีวิตรอดต่อไป....
....การรอดอยู่มิใช่เป็นอัปยศอดสู....การตายจึงใช่"
(ใครซักคนที่คิดจะตายน่าจะพิจารณาบทสนทนานี้ซักหน่อยนะ)
"....ตอนเวลาที่ท่านให้เรารอคอย ตัวท่านเองไยมิใช่อยู่ในระหว่างรอคอยเช่นกัน.."
(โอ้..แบบว่าคิดไม่ถึงจริงๆ)
"...ในระหว่างคนต่อคน..มิใช่จำพราก..ก็เป็นตายจาก..!"
ความคับแค้นลำเค็ญในชีวิตคนความจริงก็เป็นการรอคอยให้ผู้คนไปสยบพิชิตด้วยตนเอง
..ตาย..ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาใดๆ มีแต่คนขี้ขลาดที่ไม่อาจทนทานการกระทบกระเทือนเท่านั้นจึงใช้ความตายมาปลดเปลื้อง
"ขอเพียงสามารถมีชีวิต ข้าพเจ้าก็ต้องมีชีวิตสืบไป
ผู้อื่นที่ต้องการให้ข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้ายิ่งต้องการมีชีวิตรอดต่อไป....
....การรอดอยู่มิใช่เป็นอัปยศอดสู....การตายจึงใช่"
(ใครซักคนที่คิดจะตายน่าจะพิจารณาบทสนทนานี้ซักหน่อยนะ)
"....ตอนเวลาที่ท่านให้เรารอคอย ตัวท่านเองไยมิใช่อยู่ในระหว่างรอคอยเช่นกัน.."
(โอ้..แบบว่าคิดไม่ถึงจริงๆ)
"...ในระหว่างคนต่อคน..มิใช่จำพราก..ก็เป็นตายจาก..!"
(น่าคิดนะ ไม่มีสิ่งใดจีรัง ยั่งยืน)
โป้วอั้งเสาะ "กฎของข้าพเจ้า ก็ต้องเป็นเงินก่อนค่อยฆ่าคนภายหลัง"
กฎคือหลักการ...
มิว่าในวิชาชีพใด ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นคนมีหลักการของตัวเอง
(บางคนก็มีหลักการเลวๆ บางคนก็ไม่มีหลักการอะไรเลยได้แต่ไหลไปตามน้ำ --')
"ท่านทราบหรือไม่ ในโลกต้องไม่มีลายนิ้วของสองคนที่คลายคลึงกันโดยเด็ดขาด"
โต้วจับฉิกไม่ทราบ
"ข้าพเจ้าน้อยครั้งนักจะไปดูมือผู้คนโดยเฉพาะมือของบุรุษ"
"แม้นับว่าท่าดูอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ต้องดูไม่ออก เพราะมีความผิดแปลกกันน้อยกว่าน้อย"
"ท่านดูออก?"
"แม้เป็นขนมที่นึ่งออกมาจากซึ้งเดียวกัน ข้าพเจ้ายังสามารถมองปราดเดียวสังเกตความผิดแปลกของพวกมันออกได้"
"นี่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์"
"ใช่! เป็นอัฉริยะที่มีพรสวรรค์ แต่ทว่า พรสวรรค์นี้ต้องฝึกมาจากในห้องมืดมิด ผนังดำสนิท ไม่มีแสงโคมไฟแม้สักจุดแต้ม"
"ท่านฝีกมานานเท่าใด?"
"ข้าพเจ้าเพียงฝึกมาสิบเจ็ดปี แต่ละวันเพียงฝึกสี่ห้าชั่วยาม"
"การชักดาบของท่านก็ฝึกมาในสภาพเช่นนี้?"
"ตอนท่านฝึกนัยน์ตาท่านต้องชักดาบอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้งมิเช่นนั้นท่านต้องหลับเคลิ้มไป"
โต้วจับฉิกฝืนยิ้มกล่าว
"ตอนนี้นับว่าข้าเจ้าเข้าใจความหมายของคำ "พรสวรรค์" แล้ว"
(บางครั้งคนเราจะอาศัยเพียงพรสวรรค์ไม่ได้ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย!!)
(ข้อคิดอีกอย่าง แต่ไม่รู้คิดได้ว่าไง55)
"เนื่องเพราะจุดหมายของท่านไม่ใช่ฆ่ามัน แต่เป็นต้องการพิชิตมัน"
กงจื้ออู้พลันถอนใจกล่าว
"จะฆ่ามันนั้นง่าย จะพิชิตมันพ่ายแพ้ ต้องลำบากยากเข็ญมากแล้ว"
โป้วอั้งเสาะกล่าว
"ท่านไฉนต้องสละง่ายดายไปแสวงหายากเข็ญ"
กงจื้ออู้เน้นเสียงหนักๆ
"เนื่องเพราะท่านคือโป้วอั้งเสาะ ข้าพเจ้าคือกงจื้ออู้"
(ศักดิ์ศรีของเท่าและข้าพเจ้ามีได้อยู่ที่การฆ่า แต่อยู่ที่การพิชิต!!)
"เพลงดาบที่ฆ่าคน ความจริงก็มีอยู่ดาบเดียวเท่านั้น" โป้วอั้งเสาะ
กงจื้ออู้กล่าว "ใช่ความคิดวูบประสาทรู้สึก ลงมือทีหลังถึงเป้าก่อน ใช้ไม่เปลี่ยนต้านร้อยเปลี่ยน ดาบเดียวเพียงพอแล้วจริงๆ"
ไม่ว่าคุณจะมีกำเนิดเช่นไร มีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ก็เป็นผู้เก่งกล้า เป็นหนึ่งในแผ่นดินได้....
โป้วอั้งเสาะ "กฎของข้าพเจ้า ก็ต้องเป็นเงินก่อนค่อยฆ่าคนภายหลัง"
กฎคือหลักการ...
มิว่าในวิชาชีพใด ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นคนมีหลักการของตัวเอง
(บางคนก็มีหลักการเลวๆ บางคนก็ไม่มีหลักการอะไรเลยได้แต่ไหลไปตามน้ำ --')
"ท่านทราบหรือไม่ ในโลกต้องไม่มีลายนิ้วของสองคนที่คลายคลึงกันโดยเด็ดขาด"
โต้วจับฉิกไม่ทราบ
"ข้าพเจ้าน้อยครั้งนักจะไปดูมือผู้คนโดยเฉพาะมือของบุรุษ"
"แม้นับว่าท่าดูอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ต้องดูไม่ออก เพราะมีความผิดแปลกกันน้อยกว่าน้อย"
"ท่านดูออก?"
"แม้เป็นขนมที่นึ่งออกมาจากซึ้งเดียวกัน ข้าพเจ้ายังสามารถมองปราดเดียวสังเกตความผิดแปลกของพวกมันออกได้"
"นี่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์"
"ใช่! เป็นอัฉริยะที่มีพรสวรรค์ แต่ทว่า พรสวรรค์นี้ต้องฝึกมาจากในห้องมืดมิด ผนังดำสนิท ไม่มีแสงโคมไฟแม้สักจุดแต้ม"
"ท่านฝีกมานานเท่าใด?"
"ข้าพเจ้าเพียงฝึกมาสิบเจ็ดปี แต่ละวันเพียงฝึกสี่ห้าชั่วยาม"
"การชักดาบของท่านก็ฝึกมาในสภาพเช่นนี้?"
"ตอนท่านฝึกนัยน์ตาท่านต้องชักดาบอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้งมิเช่นนั้นท่านต้องหลับเคลิ้มไป"
โต้วจับฉิกฝืนยิ้มกล่าว
"ตอนนี้นับว่าข้าเจ้าเข้าใจความหมายของคำ "พรสวรรค์" แล้ว"
(บางครั้งคนเราจะอาศัยเพียงพรสวรรค์ไม่ได้ต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย!!)
(ข้อคิดอีกอย่าง แต่ไม่รู้คิดได้ว่าไง55)
"เนื่องเพราะจุดหมายของท่านไม่ใช่ฆ่ามัน แต่เป็นต้องการพิชิตมัน"
กงจื้ออู้พลันถอนใจกล่าว
"จะฆ่ามันนั้นง่าย จะพิชิตมันพ่ายแพ้ ต้องลำบากยากเข็ญมากแล้ว"
โป้วอั้งเสาะกล่าว
"ท่านไฉนต้องสละง่ายดายไปแสวงหายากเข็ญ"
กงจื้ออู้เน้นเสียงหนักๆ
"เนื่องเพราะท่านคือโป้วอั้งเสาะ ข้าพเจ้าคือกงจื้ออู้"
(ศักดิ์ศรีของเท่าและข้าพเจ้ามีได้อยู่ที่การฆ่า แต่อยู่ที่การพิชิต!!)
"เพลงดาบที่ฆ่าคน ความจริงก็มีอยู่ดาบเดียวเท่านั้น" โป้วอั้งเสาะ
กงจื้ออู้กล่าว "ใช่ความคิดวูบประสาทรู้สึก ลงมือทีหลังถึงเป้าก่อน ใช้ไม่เปลี่ยนต้านร้อยเปลี่ยน ดาบเดียวเพียงพอแล้วจริงๆ"
ไม่ว่าคุณจะมีกำเนิดเช่นไร มีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ก็เป็นผู้เก่งกล้า เป็นหนึ่งในแผ่นดินได้....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น