X-Men First Class เอ็กซ์เมน รุ่น 1 :
ถอยหลังเพื่อก้าวต่อสู่หนังซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหญ่
ดูเหมือนเป็นสูตรสำเร็จไปแล้วสำหรับหนังตอนต่อที่หมดมุกคิดไม่ออกว่าจะสร้างภาคใหม่ออกมาในแบบไหน ให้ดูน่าสนใจไม่เป็นการย้อนรอยทางความสำเร็จเดิมที่เคยทำไว้ หนังหลายเรื่องเลือกเดินย้อนหลังกลับไปสู่จุดเริ่มต้นก่อนเรื่องราวในภาคแรกแทนการเดินเรื่องต่อไปข้างหน้า และ “X-Men First Class : เอ็กซ์เมน รุ่น 1” ก็เลือกใช้สูตรนี้ในการต่อชีวิตเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ให้กลับมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มอีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกับหนังสตาร์วอร์สเคยทำสำเร็จมาแล้ว ดูเหมือนการกลับมาของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ รุ่น 1 ครั้งนี้ จะเป็นการ ถอยหลังเพื่อก้าวต่อสู่หนังซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหญ่ ที่ดูสุขุมลุ่มลึกกว่าทุกภาคที่ผ่านมา
เนื้อเรื่องอาศัยความขัดแย้งจริงของ “วิกฤติขีปนาวุธที่คิวบา” จากสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตในทศวรรษที่ 60 มาเป็นฉากหลังของจุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างชาร์ลส์ เซเวียร์หรือโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ (เจมส์ แม็คอะวอย) และเอริก เลห์นเชอร์หรือแม็กนีโต (มิชาเอล ฟาสเบนเดอร์) หลังร่วมมือกันขัดขวาง เซบาสเตียน ชอว์ (เควิน เบค่อน) หัวหน้าสมาคมลับ เฮลล์ไฟร์ คลับ ผู้จ้องฉวยโอกาสจะสร้างโลกใหม่ให้กับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ หากความขัดแย้งจากสงครามเย็นครั้งนี้มันบานปลายไปสู่สงครามนิวเคลียร์และสงครามโลกครั้งที่ 3
ด้วยพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ชาร์ลส์เติบโตมาในครอบครัวมีฐานะ มีการศึกษาที่ดีเพียบพร้อมในทุกๆด้าน ส่วนเอริกต้องสูญเสียแม่ในค่ายกักกันนาซี เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวผจญความยากลำบากแต่เพียงลำพัง ชีวิตวัยเด็กมันมีผลต่อแนวความคิดของคนทั้งสอง ชาร์ลส์เชื่อว่าเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติ ขณะเอริกกลับมองว่าเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์คือภัยคุกคามของมนุษย์ ที่มนุษย์ต้องการกำจัดไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นมนุษย์กลายพันธุ์ควรปลดแอกตัวเองก้าวขึ้นมา ปกครองโลกในฐานะผู้มีอำนาจผู้มีพละกำลังเหนือกว่า ทั้งสองต่างเลือกเดินตามแนวคิดอุดมการณ์ของตัวเอง ชาร์ลส์ออกมาก่อตั้งโรงเรียนสำหรับหนุ่มสาวมนุษย์กลายพันธุ์ เอริกก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มแทนเซบาสเตียน ชอว์ที่เขาสังหารไป ทั้งหมดคือจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพจากมิตรกลายเป็นศัตรู ระหว่างโปร เฟสเซอร์เอ็กซ์และแม็กนีโต
X-Men First Class เป็นการกลับคืนสู่หนังเอ็กซ์เมนตามแบบฉบับไบรอัน ซิงเกอร์ (ผู้กำกับ X-MEN , X2) ที่คุ้นเคยไม่ใช่ออกทะเลแบบไม่เห็นฝั่งอย่างภาคสาม X-Men The LastStand แม้เฟิร์สคลาสไบรอันไม่ได้ทำหน้าที่ผู้กำกับแต่มอบหน้าที่นี้ให้กับแมทธิว วอจ์นเป็นผู้รับผิดชอบ โดยตัวเองขยับขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบทแทน Kick–Ass ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับสุดเกรียนแมทธิว วอร์นมีส่วนอย่างยิ่งทำให้ไบรอันเลือกเขามากำกับหนังเรื่องนี้ เพราะคิก-แอสเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เดินเรื่องด้วยเนื้อหามากกว่าเทคนิคพิเศษเช่นเดียวเอ็กซ์เมนในแบบของไบรอัน ซิงเกอร์
การใช้เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริงมาผนวกเข้ากับเรื่องของมนุษย์กลายพันธุ์ ทำให้หนังดูน่าเชื่อถือตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งโทนของหนังเป็นยุค 60 มันสอดคล้องกับวัยของโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์และแม็กนีโตที่ลดลง รายละเอียดต่างๆในวัยเด็ก พัฒนาการความสัมพันธ์ของชาร์ลส์ , มิสทีค สาวร่างฟ้านักลอกเลียน และเอริก มีที่มาที่ไปมีเหตุผลรองรับ ตัวละครสมบทอื่นๆล้วนมีความสำคัญในการสร้างสีสันกับหนัง ดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวไปกับตัวละครหลัก ไม่ว่า ไวท์ ควีน สาวสวยในร่างเพชร , บีสต์ นักวิทยาศาสตร์ในร่างสัตว์ประหลาดขนสีฟ้า , แฮว็อก หนุ่มน้อยผู้สามารถปล่อยพลังงานความร้อนสูง , แบนชี หนุ่มน้อยผู้มีพลังโซนิค เป็นต้น
เฟิร์สคลาสจึงเป็นเอ็กซ์เมนที่มีบทภาพยนตร์แข็งแรงที่สุด มันสามารถตอบข้อสงสัยและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคหนึ่งและสองให้คนดูได้กระจ่างขึ้น ทั้งที่มาของเครื่องซีรีโบรใช้สวมเพื่อหาตำแหน่งของมนุษย์กลายพันธุ์ การเป็นคนพิการของโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ (หลายคนอาจสงสัยว่าฉากเปิดเรื่องของหนังเอ็กซ์เมนภาคสาม ที่โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์และแม็กนีโตเดินลงจากรถไปหาจีนที่บ้าน โปรฯเอ็กซ์ทำไมดูไม่เด็กอย่างหนังเรื่องนี้เลย ต้องบอกว่าในภาคสามไบรอัน ซิงเกอร์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆในหนังเลย ดังนั้นเราควรนำเฟิร์สคลาสไปเชื่อโยงกับภาคหนึ่งและสองของไบรอัน ซิงเกอร์เท่านั้น) แม้หนังมีความยาวกว่าสองชั่วโมงแต่มันสามารถตรึงคนดูให้สนุกไปกับหนังได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่รู้สึกเบื่อ แม้ไม่มีฉากแอ็กชั่นที่เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษอย่างภาคก่อนๆก็ตาม
นอกจากบทภาพยนตร์แล้วการแสดงของเจมส์ แม็คอะวอยและมิชาเอล ฟาสเบนเดอร์ มีส่วนไม่น้อยทำให้คนดูเชื่อว่าทั้งสองคือโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์และแม็กนีโตโดยไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่างแพทริก สจ๊วร์ตและเอียน แม็คเคลแลน การแสดงที่ดูกรุ้มกริ่มกับสาวๆของเจมส์ทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งของโปรเพสเซอร์เอ็กซ์ที่ไม่เคยเห็นในภาคไหนๆ ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดจริงจังของมิชาเอลทำให้เรารู้สึกได้ถึงปมในใจของแม็กนีโตที่พร้อมจะระเบิดมันออกมาเมื่อความโกรธแค้นปะทุถึงขีดสุด
หนังพยายามชี้ให้เห็นถึงการยอมรับในข้อบกพร่องความผิดปกติที่เป็นปมด้อยของตัวเอง ผ่านตัวละครอย่างบีสต์และมิสทีค บีสต์พยายามค้นคว้าหาวิธีปรับเปลี่ยนยีนพันธุกรรมให้เท้าตัวเองมีขนาดเล็กลง ความผิดพลาดทำให้ร่างกายทุกส่วนถูกกระตุ้นให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ขนสีฟ้า จากปมด้อยเล็กๆที่เคยปกปิดได้กลับถูกขยายใหญ่จนไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป บีสต์ต้องเรียนรู้ที่จะมองข้ามปมด้อยเหล่านั้นแล้วใช้ปมเด่นความเป็นอัจฉริยะในตัวมาลบภาพด้อยออกไปให้หมด จนก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการกลายพันธุ์ดังที่ปรากฏในภาคสาม
ส่วนมิสทีคก็พยามยามวิ่งหนีตัวตนของตัวเอง เธอไม่เคยใช้ชีวิตปกติบนเรือนร่างสีฟ้าที่ติดตัวมาแต่เกิด เธอไม่เคยยอมรับร่างนี้จนกระทั่งมาพบกับแม็กนีโตผู้สอนให้เธอรู้จักตัวตนอันแท้จริง จนยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นและมีชีวิตอยู่กับมันอย่างภาคภูมิใจ
ภาคต่อไปของเอ็กซ์เมนแว่วๆมาว่า เราอาจได้เห็นโปรเพสเซอร์เอ็กซ์โดนพลังจิตของตัวเองทำร้ายจนเริ่มเสียสติกลายเป็นคนร่างกายไม่สมประกอบ ทำให้เขาต้องสูญเสียอะไรบางอย่าไป ถ้าเรื่องราวเป็นเช่นนั้นจริงเชื่อว่าหลายคนแทบจะนับวันรอการกลับมาอีกครั้งของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นนี้ที่กำลังก้าวข้ามชั้นสู่หนังซูเปอร์ฮีโร่รุ่นใหญ่ ที่มีพร้อมทั้งพลังอันยิ่งใหญ่และสาระอันใหญ่ยิ่ง ตามรุ่นพี่อย่างสไปเดอร์แมนและแบทแมนที่ไปรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
-------------------------
กาง-แปรง
07/06/2011
grang-prang@hotmail.com
Facebook : กาง-แปรง กาง-แปรง
Facebook : กาง-แปรง กาง-แปรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น